วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

อีสานเข้าเมียง...................พานะ


คนอีสานสองคนเข้ามาทำงานในเมืองกรุง ถึงตอนเที่ยงหิวข้าว จึงไปสั่งอาหารร้านส้มตำ คนแรกสั่ง "แกงเนี้ยใส่มะเขีย" คนที่สองท้วง "เฮ้ย..มึงไปสั่งงั้นเค้าก็รู้หมดสิวะว่าเรามาจากบ้านนอก" แม่ครัวถาม "แล้วอีกคนจะเอาอะไร" คนที่สองสั่ง "เหมียนกัน"
เกิดเป็นคนอย่าได้โอ้..ผยองโตเจ้าของเก่ง
ซาดนักเลงบ่มีย่าน..สู้สะท้านต้านบ่หนี
สอยให่หล่นป่นให่ปี้..บ่มีลี้แม่นอายหมา
ชายชาติอาชาสู้บ่ได้..บีบไข่มัน..

ทําไมกบต้องจําศีลอาหารที่ใครๆ หากินได้ยาก

เป็นการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม
หน้าหนาว หาอาหารกินไม่ได้ หน้าฝน มีสัตว์ แมลงตัวเล็ก ให้หากิน
กบมีคุณสมบัติอดอาหารได้ยาวนานตลอดฤดูหนาวต่อเนื่องฤดูร้อน
ก๊อปปี้มาให้อ่าน


   "กบหายใจโดยใช้ปอด โดยอากาศจะผ่านเข้าทางรูจมูกสู่ช่องปาก แล้วเข้าสู่หลอดลมและปอด เยื่อบุช่องปากของกบจะมีเส้นเลือดฝอยมากมาย เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนอากาศ นอกจากนี้กบยังสามารถหายใจทางผิวหนังได้อีกด้วย ฤดูกาลที่กบจะฝังตัวหลบอยู่ในโพรงใต้ดินอย่างสงบ มักอยู่ในช่วงฤดูหนาวและฤดูแล้ง ในประเทศไทยช่วงฤดูดังกล่าวแหล่งน้ำตามธรรมชาติโดยทั่วไปจะแห้งขอด อาหารของกบจะขาดแคลนจึงเป็นช่วงเวลาที่กบจะหมกตัวอยู่ในโคลนตามบ่อ คู หรือไม่ก็อยู่ในรูนอนสงบนิ่งหลับตา กบจะปิดรูจมูกและหุบปากสนิท เพื่อให้สูญเสียพลังงานภายในกายน้อยที่สุด อาหารที่ใช้เลี้ยงตัวเองในระหว่างนี้จะได้จากไขมันซึ่งสะสมอยู่ภายในร่างกายโดยเปลี่ยนรูปมาจากอาหารที่สะสมได้ในระหว่างฤดูกาลที่กบสามารถเลือกหาอาหารได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ในช่วงที่ว่านี้ จึงเรียกว่าฤดูกาลที่ "กบจำศีล" ระหว่างการจำศีลกบจะหายใจด้วยปอดน้อยที่สุด แต่จะใช้ผิวหนังทำหน้าที่หายใจเป็นส่วนใหญ่ การจำศีลของกบนอกจากจะเป็นการอยู่นิ่ง ๆ พอให้ประทังชีวิตรอด เนื่องจากไม่มีอาหารมาบำรุงเลี้ยงร่างกายแล้ว ยังเป็นการหลีกเลี่ยงบรรยากาศที่หนาวเย็นในฤดูหนาว (และอากาศร้อนในช่วงฤดูแล้ง) "

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

สองเฒ่ายายตา อาชีพเฮ็ดนาอยู่ที่บ้านนอก ก้มหน้าเฮ็ดงานง๊อกๆ ลูกชายลูกสาวบ่อยู่ เลี้ยงวัวเลี้ยงควายปลูกผักขาย จับปลาหาปูกะพอได้กินได้อยู่


สองเฒ่ายายตา อาชีพเฮ็ดนาอยู่ที่บ้านนอก ก้มหน้าเฮ็ดงานง๊อกๆ ลูกชายลูกสาวบ่อยู่ เลี้ยงวัวเลี้ยงควายปลูกผักขาย จับปลาหาปูกะพอได้กินได้อยู่
กัดฟันสู้ประสาผู้เฒ่า นั่งกอดหัวเข่าคอยถ้าฟังข่าวลูกมายามบ้าน ปีใหม่หรือว่าสงกรานต์กะเห็นแต่ความว่างเปล่า จนมาปีนี้กะได้ของฟรีผลงานหมู่เจ้า หอบลูกมาให้แม่เฝ้า แล้วลูกหนุ่มสาวก็หนีเข้ากรุง
** ตาบ่เห็นหุ่งกะงมหาเลี้ยงหลานน้อย รับจ้างเฮ็ดงานต้อยๆ หาเงินมาคอยพยุง ค่าผ้าค่านม ของเล่นขนมใช้ตังค์นังนุง พ่อแม่หลานที่เมืองกรุง ส่งข่าวงานยุ่งบ่มีเวลา
***สองเฒ่ายายตา ฝากคนโทรหาเอิ้นลูกมาบ้าน ปีใหม่หรือว่าสงกรานต์ให้พากันหวนคืนบ้านนา บ่ห่วงแม่พ่อก็ขอให้ห่วงลูกแหน่เด้อหล้า เจ็บหลาย ยามไทบ้านว่า หลานเป็นกำพร้า... พ่อแม่มันลืม


เรื่องเล่าของเด็กบ้านนอก....


เรื่องแรกของการเขียน เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของชีวิตจริง สะท้อนให้เห็นถึงความสุข ความทุกข์ ความรัก ประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเล่าจากความรู้สึกที่ยิ้มทั้งน้ำตา



หลายคน...เชื่อว่าชีวิตของคนเราไม่สวยงามไม่ได้โปรยด้วยกลีบกุหลาบ(กลีบดอกไม้ดีกว่า)
        "ใช่ครับ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อเช่นนี้เหมือนกัน ชีวิตของผมไม่มีอะไรที่หรูหราแต่ก็ไม่ถึงกับขัดสนรำเค็ญอะไรมากมาย ทำไงได้ล่ะครับ ก็ในเมื่อคนเราเกิดมาทั้งทีต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ไม่เสียทีเสียแรงที่ได้เกิดมา เรียงความเรื่องนี้เกิดขึ้นจากการกลั่นกรองออกมาจากจิตใจจากก้นบึ้งเลยทีเดียว ซื่งผมก็ไม่เคยได้เล่าให้ใครฟัง เว้นแต่ว่าบางคนเขาจะรู้เองเพราะอยู่บ้านเดียวกันมั่ง แต่นั้นมันแค่ภายนอกครับ แต่ภายในจิตใจของผมมีผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้แต่รู้คนเดียวเก็บไว้ก็ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไรเลยมาเล่าสู่คนอื่น ๆ ได้รับรู้กันไป ใช่ว่าผมจะระบายอารมณ์ใส่ใครนะครับ ผมหวังแค่ว่าเด็ก...บ้านนอกจะเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ทุกคนที่ได้อ่านจะมองไว้เป็นประสบการณ์เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตเพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยลง ดั่งที่เขาว่ากันว่า การรับรู้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นเสมือนเป็นวิธีแก้ไขปัญหา ความจริงไม่มีใครเขาว่าหรอกผมพูดเอาเอง นอกจากนี้เด็ก...บ้านนอกยังมีเรื่องที่แผงความสนุกเฮฮา ความเศร้า ความสุข ความรักของเพศที่ต้องการความเข้าใจ รักเกิดได้กับทุกคน รักไม่เคยมีเหตุผล รักไม่จำเป็นต้องแบ่งแยก รักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ที่ให้ผู้อ่านทุกท่านได้เศร้าจนหน้าตาไหลและยิ้มทั้งน้ำตาได้ผมก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นน่ะครับ เอาล่ะครับคงเบื่อที่ผมพร่ำเพ้อมากพอแล้ว”